- พ.ศ. 2422 ได้รับพระราชทานยศเป็นนายร้อยโท ผู้บังคับการทหารม้า ในกรมทหารมหาดเล็กและในปีเดียวกันนี้ได้รับพระราชทานยศเป็น นายร้อยเอก ราชองค์รักษ์ประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระชนมายุได้ 17 ปี
- พ.ศ. 2423 ได้รับพระราชทานยศเลื่อนเป็นนายพันตรี ผู้สนองพระบรมราชโองการ ว่าการกรมทหารมหาดเล็ก
- พ.ศ. 2424 โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปสังกัดกรมทหารปืนใหญ่ ซึ่งเรียกกันในสมัยนั้นว่า "กรมกองแก้วจินดา" ทรงจัดตั้งโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ
- พ.ศ. 2425 ผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นพระ อุปัชฌาย์ และประทับจำพรรษาที่วัดนิเวศธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- พ.ศ. 2428 โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปเป็นผู้บังคับการทหารมหาดเล็ก และได้รับพระราชทานยศเป็นนายพันโท
- พ.ศ. 2429 โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระสุพรรณบัฎ และทรงประกาศแต่งตั้งให้ดำรงพระอิสริยยศ เป็น "กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ"
- พ.ศ. 2430 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้บัญชาการทหารบก
- พ.ศ. 2431 ได้รับพระราชทานยศนายพลตรี
- พ.ศ. 2432 โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายจากงานฝ่ายทหารไปปฏิบัติงานทางพลเรือน ทรงเป็นผู้กำกับ กรมธรรมการ
- พ.ศ. 2433 โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้นเป็นอธิบดีกรมศึกษาธิการ
- พ.ศ. 2435 - 2458 โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
- พ.ศ. 2442 โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็น "กรมหลวงดำรงราชานุภาพ"
- พ.ศ. 2454 โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็น "กรมพระดำรงราชานุภาพ"
- พ.ศ. 2458 ดำรงตำแหน่งนายกหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร
- พ.ศ. 2466 ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมุรธาธร และเป็นนายพลเอก
- พ.ศ. 2468 ดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรี
- พ.ศ. 2469 ดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสภา
- พ.ศ. 2472 โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ"
วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560
บทบาทกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
บทบาทสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ทรงเริ่มพัฒนาการพระศาสนา โดยเริ่มต้นที่วัดบวรนิเวศวิหาร ได้แก่ริเริ่มให้ภิกษุสามเณรที่บวชใหม่ เรียนพระธรรมวินัยในภาษาไทย มีการสอบความรู้ด้วยวิธีเขียน ต่อมาจึงกำหนดให้เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับคณะสงฆ์ เรียกว่า นักธรรม ทรงจัดตั้ง มหามกุฎราชวิทยาลัย เป็นการริเริ่มจัดการศึกษาของพระภิกษุ สามเณรแบบใหม่ คือ เรียนพระปริยัติธรรม ประกอบกับวิชาการอื่น ที่เอื้ออำนวยต่อการสอนพระพุทธศาสนา ผู้ที่สอบได้จะได้เป็นเปรียญเช่นเดียวกับที่สอบได้ในสนามหลวง เรียกว่า เปรียญมหามงกุฎ แต่ได้เลิกไปในอีก 8 ปีต่อมา ทรงออกนิตยสาร ธรรมจักษุ ซึ่งเป็นนิตยสารทางพระพุทธศาสนา ฉบับแรกของไทย
ทรงอำนวยการจัดการศึกษาหัวเมืองทั่วราชอาณาจักรเมื่อปี พ.ศ. 2441 ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่จะขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานไปยังประชาชนทั่วราชอาณาจักร ทรงเห็นว่า วัดเป็นแหล่งให้การศึกษาแก่คนไทยมาแต่โบราณกาล เป็นการขยายการศึกษาได้เร็วและทั่วถึง เพราะมีวัดอยู่ทั่วไปในพระราชอาณาจักร ไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน งานนี้มีกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยสนับสนุน พระองค์ดำเนินการอยู่ 5 ปี ก็สามารถขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานคือ ชั้นประถมศึกษา ออกไปได้ทั่วประเทศ จากนั้นจึงให้กระทรวงธรรมการ ดำเนินการต่อไป
ทรงปรับปรุงการปกครองคณะสงฆ์ เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์เป็นไปด้วยดี เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาตนเอง และประเทศชาติ จึงเกิด พ.ร.บ. ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) ขึ้น ซึ่งเป็น พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับแรกของไทย สาระสำคัญของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้จัดคณะสงฆ์ออกเป็น 4 คณะ คือ คณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง และคณะธรรมยุติกา มีสมเด็จพระราชาคณะเป็นเจ้าคณะ และมีพระราชาคณะรอง คณะละหนึ่งรูป รวมเป็น 8 รูป ทั้ง 8 รูปนี้ยกขึ้นเป็น มหาเถรสมาคมเป็นองค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ และเป็นที่ปรึกษาในการพระศาสนา และการคณะสงฆ์ของพระมหากษัตริย์ มีเจ้าคณะปกครองลดหลั่นไปตามลำดับคือ เจ้าคณะมณฑล เจ้าคณะเมือง เจ้าคณะแขวง และเจ้าอาวาส มีเสนาบดีกระทรวงธรรมการ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ มหาเถรสมาคมเป็นเพียง ที่ทรงปรึกษา ขององค์พระมหากษัตริย์ ดังนั้นกระทรวงธรรมการ จึงต้องทำหน้าที่สังฆราชโดยปริยาย
พระองค์ได้ทรงปรับปรุงการพระพุทธศาสนา และทางคณะสงฆ์ในด้านต่าง ๆ เป็นอันมากโดยเริ่มงานตั้งแต่เสด็จไปตรวจการคณะสงฆ์ในหัวเมืองต่าง ๆ เกือบทั่วราชอาณาจักร โดยกระทำอย่างต่อเนื่องทุกปีเกือบ ตลอดพระชนม์ชีพ ทำให้ทรงทราบความเป็นไปของคณะสงฆ์ และของประชาชนในภูมิภาคต่าง ๆ เป็นอย่างดี และนำข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ มาปรับปรุง แก้ไขในทุก ๆ ด้าน พอประมวลได้ดังนี้[17]
ด้านการพระศาสนา พระองค์ได้พัฒนาภิกษุสามเณร ให้มีความรู้ความสามารถในพระธรรมวินัย เพื่อจะได้แนะนำสั่งสอนประชาชนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทรงผลิตตำราและหนังสือทางพระพุทธศาสนา ที่คนทั่วไปสามารถอ่านทำความเข้าใจได้ง่ายด้านการคณะสงฆ์ ทรงออกพระมหาสมณาณัติ ประทานพระวินิจฉัยและทรงวางระเบียบ แบบแผน เกี่ยวกับความประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุสามเณรในด้านต่าง ๆ ให้ถูกต้องเป็นมาตรฐาน เช่น ระเบียบเกี่ยวกับพระอุปัชฌาย์ การบรรพชาอุปสมบท การปกครองภิกษุสามเณรและศิษย์วัด การวินิจฉัยอธิกรณ์ ระเบียบเกี่ยวกับ สมณศักดิ์ พัดยศ นิตยภัต ดวงตราประจำตำแหน่ง เป็นต้นด้านการศึกษา ทรงปรับปรุงการศึกษาของคณะสงฆ์ให้ทันสมัย ทรงจัดการศึกษาพระปริยัติ ธรรมเพิ่มขึ้นจากแบบเดิมที่ศึกษาภาษาบาลี โดยให้ศึกษาพระธรรมวินัยในภาษาไทยเรียกว่า หลักสูตร นักธรรมงานพระนิพนธ์ พระองค์ทรงรอบรู้ภาษาต่าง ๆ หลายภาษา คือ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส ได้ทรงนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก เช่น หนังสือหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี โท เอก หลักสูตรบาลี ไวยากรณ์ทั้งชุด รวมพระนิพนธ์ทั้งหมดมีมากกว่า 200 เรื่อง นอกจากนี้ยังทรงชำระ คัมภีร์บาลีไว้กว่า 20 คัมภีร์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
วัดบวรนิเวศวิหาร
นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๐ ฉบับที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๔๐
หลังจากสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) วัดราชประดิษฐ์ สิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๒ แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ไม่ทรงสถาปนาพระเถระรูปใด ในตำแหน่งที่ สมเด็จพระสังฆราช อีกจนตลอดรัชกาล ในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ จึงว่างสมเด็จพระสังฆราชอยู่เป็นเวลา ๑๑ ปี ถึงรัชกาล ที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงถวายมหาสมณุตมาภิเษกแด่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระวชิรญาณวโรรส เป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กล่าวอย่างสามัญทั่วไปก็คือ ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั่นเอง
พระประวัติเบื้องต้น
สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ และเจ้าจอมมารดาแพ ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๕ แรม ๗ค่ำ ปีวอก จ.ศ. ๑๒๒๑ ตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๓ เมื่อวันประสูติ นั้นฝนตกใหญ่ พระบรมชนกนาถจึงทรงถือเป็นมงคลนิมิต พระราชทานนามว่า พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ หลังจากประสูติได้เพียงปีเดียว เจ้าจอมมารดาของพระองค์ก็ถึงแก่กรรม พระองค์จึง ทรงอยู่ในความเลี้ยงดูของกรมหลวงวรเสฐสุดา (พระองค์เจ้าบุตรี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ซึ่งเป็นพระญาติ ทรงเรียกว่าเสด็จป้ามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ต่อมา ทรงย้ายมาอยู่กับท้าวทรงกันดาร (ศรี) ผู้เป็นยาย
เมื่อพระชนมายุ ๘ พรรษา ทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลี ทรงศึกษาอยู่จนสามารถแปลธรรมบทได้ก่อนที่จะทรงผนวชเป็นสามเณร และทรงเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษกับครูฝรั่งเมื่อพระชนมายุ ๑๒ พรรษา นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาโหราศาสตร์กับครูที่เชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์มาแต่พระชนม์ยังน้อย
ทรงผนวช
เมื่อพระชนมายุ ๑๔ พรรษา ทรงผนวชเป็นสามเณรตามราชประเพณี ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับเจ้านายอื่นอีก ๒ พระองค์ สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ หม่อมเจ้าพระธรรมุณหิศธาดา (พระนามเดิม ศิขเรศ) เป็นผู้ประทานสรณะและศีล เมื่อทรงผนวชแล้ว มาประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงผนวชเป็นสามเณรอยู่ ๒ เดือนเศษ จึงทรงลาผนวช
ครั้นพระชนมายุ ๒๐ พรรษา ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดารามเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๒๒ สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ พระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จันทรังสี) วัดมกุฎกษัตริยาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ทรงผนวชแล้วเสด็จมาอยู่จำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ถึงหน้าเข้าพรรษาของปีนั้นเอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯมาทรงถวายพุ่มพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหารตามราชประเพณี และในคราวนั้น ได้เสด็จ ฯ ไปถวายพุ่มพรรษาแด่พระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ ซึ่งเพิ่งทรงผนวชใหม่ถึงกุฏิที่ประทับ พร้อมทั้งทรงกราบด้วยพระอาการเคารพ อันเป็นพระอาการที่ไม่เคยทรงปฏิบัติต่อพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์อื่นที่ทรงผนวช เป็นเหตุให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้นทรงตัดสินพระทัยไม่ทรงลาผนวชแต่วันนั้น ดังที่พระองค์ได้ทรงบันทึกไว้ในพระประวัติตรัสเล่าว่า
“เสด็จกุฎีเราทรงประเคนพุ่ม เราเห็นท่านทรงกราบด้วยเคารพอย่างเป็นพระแปลกจากพระอาการที่ทรงแสดงแก่พระองค์อื่นเพียงทรงประคอง อัญชลี เรานึกสลดใจว่า โดยฐานเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านก็เป็นเจ้าของเรา โดยฐานเนื่องในพระราชวงศ์เดียวกัน ท่านก็เป็นพระเชฏฐะของเรา โดยฐานเป็นผู้แนะราชการพระราชทาน ท่านก็เป็นครูของเรา เห็นท่านทรงกราบแม้จะนึกว่าท่านทรงแสดงความเคารพแก่ธงชัยพระอรหันต์ต่างหาก ก็ยังวางใจไม่ลง ไม่ปรารถนาจะให้เสียความวางพระราชหฤทัยของท่าน ไม่ปรารถนาจะให้ท่านทอดพระเนตรเรา ผู้ที่ท่านทรงกราบแล้ว ถือเพศเป็นคฤหัสถ์อีก ตรงคำที่เขาพูดกันว่า กลัวจัญไรกิน เราตกลงใจว่าจะไม่สึกในเวลานั้น” (๑)
ทรงทำทัฬหีกรรม อุปสมบทซ้ำ
หลังจากทรงจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ๑ พรรษาแล้ว ได้เสด็จไปจำพรรษาที่ ๒ ณ วัดมกุฎกษัตริยาราม ในสำนักของพระจันทโคจรคุณ (ยิ้ม) ผู้เป็นพระกรรมวาจาจารย์
ในระหว่างที่ประทับ ณ วัดมกุฎกษัตริยารามนั้นเอง ได้ทรงทำทัฬหีกรรม อุปสมบทซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ตามธรรมเนียมนิยมของพระสงฆ์ธรรมยุตในครั้งนั้น โดยพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระธรรมไตรโลกาจารย์(เดช ฐานจาโร) เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แต่ครั้งยังเป็นพระเปรียญอยู่วัดโสมนัสวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ณ โบสถ์แพ หน้าวัดราชาธิวาสเมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๔๒๒
ทรงกรมและเป็นพระราชาคณะ เจ้าคณะรอง
เมื่อทรงผนวชได้ ๓ พรรษา ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมหน้าพระที่นั่ง ณ พระที่นั่งบรมราชสถิตมโหฬาร ห้องเขียว ท่ามกลางประชุมพระราชาคณะผู้ใหญ่ ๑๐ รูป มีสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นประธาน ทรงแปลได้เป็นเปรียญ ๕ ประโยค และทรงหยุดอยู่เพียงนั้น
หลังจากทรงแปลพระปริยัติธรรม ได้เป็น เปรียญ ๕ ประโยคแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาพระอิสริยยศเป็น กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ทรงดำรงสมณศักดิ์เป็นเจ้าคณะรองในธรรมยุติกนิกาย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๔ พระองค์ทรงเป็นเจ้าคณะรองในคณะธรรมยุตเป็นพระองค์แรกและทรงเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ทรงมีพรรษายุกาลน้อยที่สุด คือ ๓ พรรษาเท่านั้น
ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร
พ.ศ. ๒๔๓๔ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขณะเมื่อทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่น ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารสืบต่อจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ นับเป็นเจ้าอาวาสพระองค์ที่ ๓
ครั้น ปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ทรงพระกรุณาโปรดเลื่อนพระสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต นับเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตพระองค์ที่ ๒ ทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตเมื่อทรงมีพรรษายุกาล ๑๕ พรรษา (๒)
เมื่อทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว ก็ได้ทรงเริ่มพัฒนากิจการพระศาสนา โดยทรงเริ่มทำขึ้นภายในวัดบวรนิเวศวิหารก่อน เป็นการทดลองเพื่อดูผลได้ผลเสีย และทรงปรับปรุงแก้ไขจนทรงเห็นว่า มีผลดีเป็นคุณประโยชน์แก่พระศาสนาเป็นส่วนรวม จึงทรงขยายออกในวงกว้าง กล่าวเฉพาะที่สำคัญ คือ
การศึกษาพระปริยัติธรรมในภาษาไทย
ทรงริเริ่มให้ภิกษุสามเณรที่บวชใหม่เล่าเรียนพระธรรมวินัยในภาษาไทย เพื่อให้รู้จักพระพุทธศาสนาทั้งส่วนที่เป็นธรรมและวินัยในขั้นพื้นฐานในชั่วระยะเวลาอันสั้น โดยพระองค์ได้ทรงสอนด้วยพระองค์เอง มีการสอบความรู้ของภิกษุสามเณรที่เรียนด้วยวิธีสอบแบบใหม่คือวิธีเขียน ต่อมาได้มีภิกษุสามเณร ไม่เฉพาะแต่พระใหม่เท่านั้นที่นิยมเล่าเรียนพระธรรมวินัยแบบใหม่ที่พระองค์ทรงจัดขึ้นนี้ และนิยมแพร่หลายออกไปถึงวัดอื่น ๆ ด้วย
เมื่อทรงเห็นว่าเป็นการเล่าเรียนที่มีประโยชน์ต่อภิกษุสามเณรทั่วไป จึงได้ทรงกำหนดให้เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับคณะสงฆ์ในเวลาต่อมา ที่เรียกว่า “นักธรรม” ซึ่งเป็นหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะสงฆ์สืบมาจนปัจจุบัน เป็นการศึกษาพระปริยัติธรรมในภาษาไทยคู่กับการศึกษาพระปริยัติธรรมในภาษาบาลีที่มีมาแต่โบราณ
ทรงจัดตั้งมหามกุฎราชวิทยาลัย
สำหรับเป็นสถานศึกษาของภิกษุสามเณรและกุลบุตร เป็นการทรงริเริ่มจัดการศึกษาของภิกษุสามเณรแบบใหม่ คือ เล่าเรียนพระปริยัติธรรมประกอบกับวิชาการอื่นๆ ที่เอื้อต่อการสั่งสอนพระพุทธศาสนา และสอบด้วยวิธีเขียนซึ่งทรงริเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก ภิกษุสามเณรที่สอบไล่ได้ตามหลักสูตรนี้ก็ทรงพระกรุณาโปรดตั้งเป็นเปรียญเช่นเดียวกับผู้สอบไล่ได้ในสนามหลวงตามแบบเดิมเหมือนกัน เรียกว่า “เปรียญมหามกุฎ” แต่น่าเสียดายที่หลักสูตรพระปริยัติธรรมแบบมหามกุฎดังกล่าวนี้ ได้ดำเนินการอยู่เพียง ๘ ปีก็เลิกไป เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ไม่ทรงมีเวลาจะดูแลจัดการเนื่องจากทรงมีพระภารกิจอื่นในคณะสงฆ์มาก
ในส่วนการศึกษาของกุลบุตรนั้น พระองค์ได้ทรงจัดตั้งโรงเรียนภาษาไทยของมหามกุฎราชวิทยาลัยขึ้นตามวัดธรรมยุต เพื่อให้เป็นที่เล่าเรียนของกุลบุตร โดยใช้หลักสูตรที่ พระองค์ทรงจัดขึ้นใหม่เรียกว่า “หลักสูตรมหามกุฎ” เช่น โรงเรียนวัดบวรนิเวศ โรงเรียนวัดมกุฎ เป็นต้น การจัดตั้งโรงเรียนดังกล่าวนี้ขึ้นก็ด้วยทรงมีพระดำริว่าเพื่อเป็นการช่วยรัฐบาล พระองค์ทรงพยายามพัฒนาโรงเรียนภาษาไทยของมหามกุฎให้เป็นโรงเรียน “เชลยศักดิ์” คือโรงเรียนราษฎร์ แบบอยู่ประจำ เพื่อเป็นต้นแบบให้รัฐบาล หรือ เอกชนอื่นๆ ทำตาม แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเพราะขาดเงินทุนที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามพระดำริ ในที่สุดก็ต้องทรงมอบโรงเรียนภาษาไทยของมหามกุฎฯ ให้กระทรวงธรรมการ คือกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบันเป็นผู้ดำเนินการต่อไป ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ทรงจัดตั้งโรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย
เนื่องจากทรงจัดการศึกษาในมหามกุฎราชวิทยาลัยดังกล่าวมาแล้ว จำเป็นต้องใช้หนังสือและตำราเรียนเป็นจำนวนมาก จึงได้ทรงจัดตั้งโรงพิมพ์ขึ้น เพื่อจัดพิมพ์หนังสือและตำรับตำราต่างๆ ให้เพียงพอแก่การใช้ศึกษาของภิกษุสามเณรและกุลบุตร เรียกว่า “โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย” โดยทรงใช้ แท่นพิมพ์ที่ใช้พิมพ์พระไตรปิฎกเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ และโรงพิมพ์ก็ตั้งที่โรงพิมพ์หลังเดิมที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้นเมื่อครั้งยังทรงผนวชอยู่และทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร (คือตรงที่สร้างตำหนักเพ็ชรในบัดนี้) แต่โรงพิมพ์ที่พระองค์ทรงจัดตั้งขึ้นดังกล่าวนี้ ดำเนินกิจการอยู่เพียง ๘ ปี ก็ต้องเลิกไปเพราะค่าโสหุ้ยสูงจนไม่อาจดำเนินการต่อไปได้ ต้องทรงกลับไปใช้วิธีจ้างโรงพิมพ์อื่นซึ่งเสียค่าโสหุ้ยน้อยกว่า
ทรงออกนิตยสารธรรมจักษุ
หลังจากทรงจัดตั้งสถานศึกษา คือมหามกุฎราชวิทยาลัยได้ ๑ ปี ก็ทรงออกนิตยสารธรรมจักษุ เป็นนิตยสารรายเดือน สำหรับตีพิมพ์เรื่องราวทางพระพุทธศาสนา ทั้งที่เป็นคำสั่งสอนและข่าวสารต่างๆ ออกเผยแพร่แก่ประชาชน รวมทั้งข่าวเกี่ยวกับกิจการมหามกุฎราชวิทยาลัยด้วย ที่สำคัญคือ เพื่อเป็นสนามให้ภิกษุสามเณรที่เป็นนักเรียนของมหามกุฎราชวิทยาลัยได้ฝึกแปล แต่ง เขียน เรื่องราวทางพระพุทธศาสนาแล้วตีพิมพ์เผยแพร่แก่ประชาขน ธรรมจักษุจึงเป็นนิตยสารทางพระพุทธศาสนาฉบับแรกของไทยและมีอายุเก่าแก่ที่สุด นับถึงปัจจุบันก็กว่า ๑๐๐ ปีแล้ว (๓)
ทรงอำนวยการจัดการศึกษาหัวเมืองทั่วพระราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชดำริจะขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานไปยังประชาชนทั่วพระราชอาณาจักร เพราะทรงเห็นว่าการศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมือง จึงทรงอาราธนาสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่น ให้ทรงอำนวยการจัดการศึกษาในหัวเมืองทั่วพระราชอาณาจักร ทั้งนี้เพราะทรงเห็นว่าวัดเป็นแหล่งให้การศึกษาแก่คนไทยมาแต่โบราณกาล การใช้วัดเป็นฐานในการขยายการศึกษาเป็นทางเดียวที่จะขยายได้เร็วและทั่วถึง เพราะวัดมีอยู่ทั่วทุกหนแห่งในพระราชอาณาจักร ทั้งไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินในการสร้างโรงเรียนด้วย เพราะอาศัยศาลาวัดที่มีอยู่แล้วนั่นเองเป็นโรงเรียน
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ได้ทรงเลือกพระเถระผู้มีความสามารถทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกายรวม ๑๓ รูป เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลต่างๆ แล้วส่งออกไปดำเนินการจัดการศึกษาในหัวเมืองต่างๆ ในมณฑลนั้นๆ ทั่วพระราชอาณาจักร โดยมีฝ่ายบ้านเมือง คือ กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการดำเนินการ พระองค์ทรงรับหน้าที่อำนวยการในการจัดการศึกษาหัวเมืองอยู่ ๕ ปี ก็ทรงสามารถขยายการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ การศึกษาขั้นประถมศึกษา ออกไปได้ทั่วประเทศ เมื่อทรงวางรากฐานการศึกษาในหัวเมืองเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้วและมีความมั่งคงพอสมควรแล้ว ก็ทรงมอบให้เป็นภาระหน้าที่ของกระทรวงธรรมการดำเนินการต่อไป
จึงกล่าวได้ว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นผู้วางรากฐานการศึกษาระดับประถมศึกษาในประเทศไทยโดยมีวัดเป็นโรงเรียน มีพระเป็นครูสอน มีมหามกุฎราชวิทยาลัยเป็นต้นแบบในด้านหลักสูตรและการฝึกหัดครูสำหรับออกไปสอนในโรงเรียนนั้นๆ
ทรงปรับปรุงการปกครองคณะสงฆ์
ในการจัดการศึกษาในหัวเมืองดังกล่าวมาแล้วข้างต้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ได้ทรงพบความไม่เรียบร้อยในการปกครองคณะสงฆ์ และทรงมีพระดำริว่า การที่จะจัดการศึกษาให้ได้ผลดีนั้น จะต้องจัดการปกครองคณะสงฆ์ให้เรียบร้อยไปพร้อมกันด้วย ฉะนั้นพระองค์จึงได้ทรง พระดำริจัดรูปแบบการปกครองคณะสงฆ์ขึ้นใหม่ เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและเอื้อต่อการที่จะพัฒนาตัวเองและบ้านเมืองให้เจริญ ก้าวหน้ายิ่งขึ้น พระดำริดังนี้เองที่เป็นเหตุให้เกิดพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ขึ้น ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับแรกของไทย
ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ นั้น จัดคณะสงฆ์เป็น ๔ คณะคือ คณะเหนือ คณะใต้ คณะธรรมยุตติกา และคณะกลาง มีสมเด็จพระราชาคณะเป็นเจ้าคณะ และมีพระราชาคณะเจ้าคณะรองคณะละรูปพระเถระทั้ง ๘ รูปนี้ยกขึ้นเป็นมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุดในทางคณะสงฆ์และเป็นที่ทรงปรึกษาในการพระศาสนาและการคณะสงฆ์ของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน มีเจ้าคณะปกครองลดหลั่นกันไปตามลำดับคือ เจ้าคณะมณฑล เจ้าคณะเมือง เจ้าคณะแขวง (อำเภอ) เจ้าอาวาส นับเป็นครั้งแรกที่คณะสงฆ์ไทยมีการจัดปกครองอย่างเป็นระบบ มีแบบแผนที่ชัดเจน โดยมีกฎหมายทางบ้านเมืองเข้ามารองรับการดำเนินกิจการพระศาสนาและการคณะสงฆ์
เมื่อมีพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ขึ้นแล้ว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งอำนวยการศึกษามณฑลต่างๆ เป็นเจ้าคณะมณฑล มีหน้าที่ทำนุบำรุงพระศาสนาและบำรุงการศึกษาตามวัดในมณฑลนั้นๆ ให้เจริญรุ่งเรืองตามพระราชประสงค์
ในเวลาตั้งพระราชบัญญัตินี้ ว่างสมเด็จพระสังฆราช เพราะนับแต่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๔ แล้ว มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดในตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราชอีก จนตลอดรัชกาลที่ ๕ มีแต่เจ้าคณะใหญ่ ๔ รูป ซึ่งมิได้ขึ้นแก่กัน เมื่อมีภารกิจอันจะพึงทำร่วมกันเจ้าคณะใหญ่รูปใดมีสมณศักดิ์สูง เสนาบดีกระทรวงธรรมการก็รับพระบรมราชโองการสั่งไปทางเจ้าคณะรูปนั้น ขณะนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ซึ่งทรงพระอิสริยยศเป็น กรมหมื่น ทรงสมณศักดิ์สูงกว่าเจ้าคณะทั้งปวง จึงทรงพระกรุณาโปรดให้เป็นการก (คือประธาน) ในที่ประชุมมหาเถรสมาคม ซึ่งเท่ากับทรงปฏิบัติ หน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชมาจนตลอดรัชกาลที่ ๕
ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ นี้แสดงให้เห็นว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงปกครองคณะสงฆ์ด้วยพระองค์เอง โดยมีเสนาบดีกระทรวงธรรมการเป็นผู้รับพระบรมราชโองการสั่ง คือ บัญชาการคณะสงฆ์แทนองค์พระมหากษัตริย์นั่นเอง มหาเถรสมาคมซึ่งเป็นองค์กรสูงสุดทางคณะสงฆ์เป็นเพียง “ที่ทรงปรึกษา” คือทำหน้าที่ถวายคำแนะนำในเรื่องการพระศาสนาและคณะสงฆ์แด่องค์พระมหากษัตริย์ โดยผ่านไปทางเสนาบดี กระทรวงธรรมการเท่านั้น (๔) จึงกล่าวได้ว่า ตั้งแต่โบราณมาจนถึงเวลาที่ตั้งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) นี้ขึ้น คฤหัสถ์ทำหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์มาโดยตลอด
มหาสมณุตมาภิเษก
พ.ศ. ๒๔๔๙ ทรงพระกรุณาโปรดเลื่อนพระอิสริยยศเป็น กรมหลวง ถึง พ.ศ. ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ สืบพระบรมราชสันตติวงศ์เป็นรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พอเสด็จการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมราชินี พระพันปีหลวงแล้ว โปรดให้ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงสถาปนาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส เป็นสมเด็จกรมพระยา ทรงสมณศักดิ์เป็น สมเด็จพระมหาสมณะ (คือ สมเด็จพระสังฆราช) เมื่อวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๔ ค่ำ ปีจอ ตรงกับ วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ มีสำเนาประกาศดังนี้
ประกาศมหาสมณุตมาภิเศก
ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนกาล เป็นอดีตภาค ๒๔๕๓ พรรษา กาลปัตยุบันจันทรโคจร โสณสัมพัตสร มฤคศิรมาส สุกกปักษ์ จตุรถีดิถี ศศิวาร สุริยคติกาล รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๙ ธันวาคมมาส ปัญจมสุรทิน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ ฯลฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชดำริห์ว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส เป็นพระบรมวงศ์พระองค์หนึ่ง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงยกย่องว่าเป็นผู้ต้องพระราชอัธยาไศรยมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ได้ทรงปฏิบัติราชกิจใกล้ชิดพระองค์ จนกระทั่งพระชนมายุถึงกำหนดอันควรที่จะทรงพระผนวชในพระบวรพุทธศาสนา ตั้งแต่เมื่อก่อนจะทรงพระผนวชนั้น ก็ได้ทรงมีพระกระมลสันดานเลื่อมใสในพระรัตนไตรยมั่นคง และได้เริ่มทรงศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่ก่อน ครั้นเมื่อทรงพระผนวชแล้ว ก็ได้ทรงพระอุสาหศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยพระปรีชาญาณ ทรงรอบรู้ในอรรถธรรมทั้งปวงมากขึ้นเป็นลำดับ จนหาผู้ที่จะรู้เท่าเทียมได้โดยยากนัก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาพระอิศริยยศให้เป็นพระองค์เจ้าต่างกรม และให้ทรงสมณศักดิ์อันสูง ก็เพราะทรงทราบชัดอยู่ว่า พระราชภาดาของพระองค์จะสามารถเป็นผู้ดำรงพระบวรพุทธศาสนา ให้ประดิษฐานถาวรวัฒนา ในสยามราชอาณาจักรสืบไป ก็นับว่าเป็นไปได้จริงตามความทรงมุ่งหมาย ธรรมดาพระศาสนาจะมั่นคงยั่งยืนอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยความรอบรู้แห่งพุทธศาสนิกบริสัษย์ ในพระธรรมอันถ่องแท้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส ได้ทรงเป็นประธานในการที่พระภิกษุสามเณรสอบไล่พระปริยัติธรรม ทรงกำกับให้การสอบไล่อันนั้นเป็นไปโดยทางที่ถูกต้องทุกประการ นับว่าได้ทรงช่วยสมเด็จพระราชาธิบดีในการที่ทรงทำนุบำรุงพระศาสนาให้มั่นคงอยู่ มิได้เสื่อมคลายไปเลย ทั้งได้ทรงพระอุสาหปกครองคณะสงฆ์ให้มั่นคงในกิจปฏิบัติ สมควรแก่ผู้ที่ดำรงสมณเพศพิเศษยิ่งกว่าสามัญชน นับว่าได้ทรงทำคุณประโยชน์อันใหญ่ยิ่งให้บังเกิดมีแก่กรุงสยาม
อนึ่งได้ทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญในสรรพอรรถธรรมทั้งปวงแล้วก็ได้ทรงเปิดเผยแผ่พระธรรมนั้น ๆ ให้ปรากฏแก่มหาชนทั่วไปโดยโวหารอันไพเราะจับใจซึมทราบ ทำให้ผู้ฟังแล้วและเห็นเข้าใจข้อความแจ่มแจ้ง สิ้นความเคลือบแคลงได้ ทำให้เกิดความเลื่อมใสในพระรัตนไตรยทวีขึ้นเป็นอันมาก ความอันใดที่เข้าใจยากก็ได้ทรงขยายให้และเห็นง่ายดายกระจ่าง ประหนึ่งทรงนำทางให้เดินไปสู่ที่ชอบ ทรงชำนิชำนาญทั้งในทางแสดงพระสัทธรรมเทศนา และในทางนิพนธ์รจนาหนังสือ อันเป็นเครื่องชูใจให้ผู้ฟังผู้อ่านได้รับผลอันดี ปีติปราโมทย์เป็นที่นิยมนับถือของมหาชนทั่วไป ไม่เฉพาะแต่ในสยามราชอาณาเขตร ถึงแม้ชนในไพรัชประเทศก็สรรเสริญยกย่องพระองค์ว่าเป็นมหาบัณฑิตย์อันประเสริฐ ผู้ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทั่วไป ได้นิยมยอมยกพระองค์เป็นมหาศาสนนายก แต่ถึงแม้ผู้ที่มีใจนับถือลัทธิศาสนาอื่น ๆ ก็มีความนับถือพระองค์เป็นปราชญ์อันหาที่เปรียบได้โดยยาก ผู้มีชื่อเสียงสำคัญอันเป็นชาวต่างประเทศ แม้มาเยี่ยมกรุงสยามก็คงตั้งใจพยายามไปน้อมคำนับด้วยความนิยมนับถือ ด้วยได้ยินพระเกียรติคุณบรรฦๅไปจนถึงประเทศนั้นๆ จึงชวนกันมาเฝ้าเพื่อสำแดงความเคารพมหาบัณฑิตย์ฉนั้น
อีกประการหนึ่ง พระองค์ได้ทรงเป็นครูปัธยาจารย์ แห่งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และชนทุกชั้น ได้ทรงมีพระหฤทัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในหมู่ศิษย์ทั้งหลายทั่วกัน ไม่เลือกหน้าว่าเป็นบุคคลชั้นใด ในขณะที่ยังเป็นภิกษุสามเณรอยู่ในสำนักของพระองค์ ก็ทรงอนุสาสน์ให้รอบรู้เข้าใจในอรรถธรรมตามสมควรแก่สติปัญญาของตน ๆ ครั้นเมื่อละเพศพรหมจรรย์แล้ว ก็ยังทรงเป็นพระธุระติดตามประทานโอวาทตามแต่จะทรงหาโอกาสได้ คอยทรงตักเตือนสติและเหนี่ยวใจไว้ให้ฝักใฝ่ในทางธรรมอันควรแก่คิหิปฏิบัติ เป็นพระคุณอันแน่ชัดประจักษ์อยู่ในใจแห่งศิษย์ทั้งหลายทั่วกัน
ในส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงวชิรญาณวโรรสได้ทรงคุ้นเคยและเป็นที่ถูกพระอัธยาไศรยกันมาแต่ยังทรงพระเยาว์ ได้ทรงสั่งสอนชักจูงพระราชหฤทัยให้น้อมไปในทางศรัทธา ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นลำดับมา ครั้นเมื่อรัตนโกสินทรศก ๑๑๒ ก่อนที่จะเสด็จออกไปศึกษาวิชาการ ณ ประเทศยุโรป พระเจ้าบรมวงศ์เธอก็ได้เป็นผู้ทรงรับคำปฏิญญาแสดงพระองค์เป็นอุบาสก จนถึงเมื่อรัตนโกสินทรศก ๑๒๓ ได้ทรงเป็นพระอุปัธยาจารย์ เมื่อทรงรับอุปสมบทได้ทรงอนุสาสน์สั่งสอนให้ทรงทราบอรรถธรรม และความปฏิบัติอันดีอันงาม ทั้งต่อมาก็ยังได้ทรงตามอนุสาสน์ตักเตือน ทรงแนะนำทางที่จะทรงพระราชดำริในทางธรรม อันจะควรใช้ประกอบในทางโลก นับว่าทรงมีพระคุณอันใหญ่ยิ่งหาผู้ใดจะเสมอเหมือนได้โดยยากนักในสมัยนี้
ตามข้อความที่กล่าวมาแล้วนี้ จึงแลเห็นปรากฏอยู่ว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นบุรุษรัตนอันล้ำเลิศประเสริฐสุดยิ่งกว่าบรรดาพระเถรานุเถรทั้งปวงทั้งในคามวาสีอรัญวาสีปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือ สมควรที่จะให้ดำรงพระเกียรติยศอันใหญ่ยิ่ง เช่น อย่างพระบรมวงศ์ที่ได้เคยทรงเป็นใหญ่ในคณะสงฆ์มาแต่ก่อน โดยรับมหาสมณุตมาภิเศกและเลื่อนพระอิศริยยศต่างกรม ให้สมแก่ความยินดีเลื่อมใส จะได้เป็นที่เคารพสักการบูชา เป็นที่นิยมนับถือของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ ตลอดจนถึงมหาชนนิกรที่เลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาทั่วหน้า
จึงมีพระบรมราชโองการมารพระบัณฑูรสุรสิงหนาทโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการมหาสมณุตมาภิเศก และเลื่อนพระอิศริยยศพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส ขึ้นเป็นสมเด็จกรมพระยา มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัต รว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ศรีสุคตขัตติยพรหมจารี สรรเพชญรังศีกัลยาณวากย มนุษยนาคอเนญชาริยวงศ์ บรมพงศาธิบดี จักรีบรมนารถประนับดา มหามกุฎกษัตรราชวรางกูร จุฬาลงกรณ์ปรมินทร์สูรครุฐานิยภาดา วชิราวุธมหาราชหิโตปัธยาจารย์ ศุภศีลสารมหาวิมล มงคลธรรมเจดีย์ สุตพุทธมหากวี ตรีปิฎกาทิโกศล เบญจปดลเสวตรฉัตร ศิริรัตโนปลักษณมหาสมณุตมาภิเศกาภิษิต วิชิตมารสราพกธรรมเสนาบดี อมรโกษินทรโมลีมหาสงฆปรินายก พุทธศาสนดิลก โลกุตมมหาบัณฑิตย์ สิทธรรถนานานิรุกติประติภาน มโหฬารเมตตาภิธยาศรัย พุทธาทิรัตนตรัยคุณารักษ์ เอกอัครมหาอนาคาริยรัตน์ สยามาธิปัตยพุทธบริษัทเนตร สมณคณินทราธิเบศสกลพุทธจักรกฤตโยปการ มหาปาโมกขประธานสถาวีรวโรดม บรมนารถบพิตร เสด็จสถิตย์ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร พระอารามหลวง มุสิกนาม ให้ทรงศักดินา ๓๕๐๐๐ เป็นพิเศษในตำแหน่งพระองค์เจ้าต่างกรมผู้ใหญ่ ดำรงพระยศฝ่ายสมณศักดิ เป็นเจ้าคณะใหญ่แห่งพระสงฆ์ทั้งกรุงเทพมหานคร และหัวเมืองทั่วพระราชอาณาเขตร พระราชทานนิตยภัตรบูชาเดือนละ ๘๐ บาท ขออาราธนาให้ทรงรับธุระพระพุทธศาสนาเป็นภาระสั่งสอน ช่วยระงับอธิกรณ์พระภิกษุสงฆ์สามเณรทั่วไป โดยสมควรแก่อิสริยยศสมณศักดิ จงทรงเจริญพระชนมายุพรรณศุขะพล ปฏิภาณคุณสารสมบัติ สรรพศิริสวัสดิพิพัฒมงคล วิบูลยศุภผลจิระถิติกาลในพระพุทธศาสนาเทอญ ฯ
ทรงปรับสถานภาพของคณะสงฆ์
ในปีรุ่งขึ้น หลังจากทรงได้รับมหาสมณุตมาภิเษก คือ พ.ศ. ๒๔๕๔ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ก็ทรงปรับปรุงการปกครองคณะสงฆ์ครั้งสำคัญ คือ ทรงชี้แจงแก่เสนาบดี กระทรวงธรรมการ ถึงผลเสียที่เกิดจากการที่คฤหัสถ์ปกครองคณะสงฆ์ ดังที่เป็นมาในอดีตและเป็นอยู่ในขณะนั้น และทรงแนะนำว่าควรจะถวายอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์แก่พระองค์ให้เป็นเด็ดขาด ฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์เรียบร้อย เพราะพระด้วยกันย่อมเข้าใจเรื่องของพระด้วยกัน ดีกว่าคฤหัสถ์ซึ่งมิใช่พระ ดังความตอนหนึ่งในลายพระหัตถ์ ว่า
“แต่ก่อน คณะแยกกันครอง หรือบางสมัยมีสังฆราช ก็เจริญอายุพรรษา มีอยู่ก็เป็นแต่เพียงกิตติมศักดิ์ กระทรวงธรรมการจำต้องทำหน้าที่สังฆราช ฯ ผลเป็นอย่างไรบ้าง ฯ ไม่อาจว่าพระให้เรียบร้อยได้ เพราะมิได้เป็นพระด้วยกัน ไม่มีความรู้ในฝ่ายพระทั่วถึง ไม่รู้อัธยาศัยของพระแจ้งชัด ฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่สามารถเพื่อจะระงับความเสียหายอันเกิดขึ้นแล้ว และเพื่อจะบำรุงให้ดีขึ้น ได้แต่ทำ ๆ ไปเช่นนั้น อย่างเดียวกับไล่หนังสือพวกรามัญ ผลที่มีก็คือความเสื่อมทรามของพระอันค่อยเป็นไปโดยลำดับ ฯ ในเวลานี้ ได้ฉันเป็นสังฆราชขึ้น หน้าที่กระทรวงธรรมการจะปลดเปลื้องการพระสงฆ์ ที่ตนไม่ถนัด ถวายฉันเสียให้เป็นเด็ดขาด จะเบาแรงเข้าและการจะดีขึ้น ฯ” (๕)
หลังจากที่ได้ทรงมีลายพระหัตถ์ชี้แจงดังกล่าวแล้ว อีก ๖ เดือนต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ “ได้ทรงมอบการทั้งปวงซึ่งเป็นกิจธุระพระศาสนาถวาย แด่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ผู้เป็นมหาสังฆปริณายก เพื่อทรงเป็นพระธุระปกครอง” (๖) ตั้งแต่เดือนกันยายน ร.ศ. ๑๓๑ (พ.ศ. ๒๔๕๕) เป็นต้นมา
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ จึงทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกของไทยที่ทรงปกครองคณะสงฆ์โดยตรงด้วยพระองค์เอง เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในสังฆมณฑลของไทย กล่าวคือ เป็นการทำให้คณะสงฆ์หลุดพ้นจากการปกครองโดยคฤหัสถ์มาสู่การปกครองโดยพระด้วยกันเองเป็นครั้งแรก เป็นเหตุให้สมเด็จพระสังฆราช มีพระอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์โดยตรงแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จวบจนปัจจุบัน นับเป็นการปรับสถานภาพของคณะสงฆ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของคณะสงฆ์ไทย
เสด็จตรวจการคณะสงฆ์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกที่เสด็จตรวจการคณะสงฆ์ในหัวเมืองต่างๆ เกือบทั่วพระราชอาณาจักรเท่าที่สามารถจะเสด็จไปได้ นับแต่ปีที่ ๒ แห่งการทรงดำรงตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ได้เสด็จไปตรวจการคณะสงฆ์ตามหัวเมืองต่างๆ เป็นประจำทุกปีมิได้ขาด กระทั่งถึงปีท้าย ๆ แห่งพระชนม์ชีพซึ่งทรงพระประชวรไม่สามารถเสด็จตรากตรำไปตามหัวเมืองต่างๆ ที่ห่างไกลได้ จึงได้ทรงหยุดการเสด็จตรวจการคณะสงฆ์
ทรงปรับปรุงการพระศาสนาและการคณะสงฆ์ในด้านต่าง ๆ
เนื่องจากพระองค์เสด็จไปตรวจการคณะสงฆ์ตามหัวเมืองต่างๆ ด้วยพระองค์เองอย่างถี่ถ้วนเกือบทั่วพระราชอาณาจักร สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ จึงทรงทราบถึงความเป็นไปของคณะสงฆ์ ตลอดถึงสภาพของประชาชนและความเป็นไปของบ้านเมืองในภูมิภาคต่างๆ เป็นอย่างดี ทำให้พระองค์ทรงทราบถึงปัญหาและกำหนดวิธีการแก้ไขได้อย่างเหมาะสม สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงปรับปรุงแก้ไขการพระศาสนาและการคณะสงฆ์ในทุกๆ ด้านเพื่อให้พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์มีความเจริญมั่นคงและสามารถทำประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองได้อย่างเหมาะสมแก่กาละเทศะ กล่าวคือ
ในด้านการพระศาสนา พระองค์ได้ทรงพยายามพัฒนาภิกษุสามเณรให้มีความรู้ความสามารถในพระธรรมวินัย เพื่อจักได้แนะนำสั่งสอนประชาชนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมแก่สมัย โดยทรงพยายามจัดให้ภิกษุสามเณรได้รับการศึกษาพระธรรมวินัยตามสมควรแก่สถานภาพของตน ทรงแนะนำสั่งประชาชนให้รู้จักศึกษาพระพุทธศาสนา และรู้จักนำธรรมไปปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมแก่สถานภาพของตน ทรงพยายามผลิตตำรา และหนังสือทางพระพุทธศาสนา ที่คนทั่วไปสามารถอ่านเข้าใจได้ง่าย ออกเผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ ทรงแนะนำภิกษุสามเณร ให้รู้จักเทศนาสั่งสอนประชาชน ให้เหมาะสมแก่กาลเทศะ และเหมาะแก่ประชาชน
ในด้านการคณะสงฆ์ พระองค์ได้ทรงออกพระมหาสมณาณัติ ประทานพระมหาสมณวินิจฉัยและทรงวางระเบียบแบบแผน เกี่ยวกับความประพฤติปฏิบัติของภิกษุสามเณรในด้านต่าง ๆ ให้ถูกต้องเรียบร้อยยิ่งขึ้น เช่น ระเบียบเกี่ยวกับพระอุปัชฌาย์ การบรรพชาอุปสมบท การปกครองภิกษุสามเณรและศิษย์วัด การวินิจฉัยอธิกรณ์ ระเบียบเกี่ยวกับสมณศักดิ์พัดยศ นิตยภัต ดวงตราประจำตำแหน่ง เป็นต้น โดยทรงชี้ให้เห็นว่า ภิกษุสามเณรนั้นนอกจากจะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยแล้ว ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองและจารีตประเพณีด้วย การคณะสงฆ์จึงจะดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย
ในด้านการศึกษา ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าเป็นส่วนสำคัญ ที่จะทำให้ภิกษุสามเณร ประพฤติปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเรียบร้อย ตลอดถึงสามารถทำประโยชน์แก่สังคมและชาติบ้านเมืองได้อย่างแท้จริง ฉะนั้น พระองค์จึงได้ทรงพยายามปรับปรุงการศึกษาของคณะสงฆ์ให้ทันสมัย กล่าวคือ
การศึกษาพระปริยัติธรรม อันได้แก่การศึกษาภาษาบาลี เพื่อให้สามารถอ่านพระคัมภีร์ได้ อันเป็นการศึกษาของคณะสงฆ์ที่มีมาแต่โบราณนั้น พระองค์ก็ทรงปรับปรุงให้เหมาะสมและอำนวยประโยชน์แก่ผู้เรียนมากยิ่งขึ้น ได้ทรงจัดการศึกษาพระปริยัติแบบใหม่ขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า นักธรรม ซึ่งเป็นการเรียนพระธรรมวินัยในภาษาไทย เพื่อให้ภิกษุสามเณรทั่วไปสามารถเรียนรู้พระธรรมวินัยได้ง่ายขึ้นและไม่ต้องใช้เวลาในการเรียนนาน
นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ทรงพยายามที่จะจัดการศึกษาของคณะสงฆ์ ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยการจัดตั้งโรงเรียนของมหามกุฎราชวิทยาลัย เพื่อศึกษาวิชาการสมัยใหม่ ในลักษณะที่เรียกกันในปัจจุบันว่า มหาวิทยาลัย ขึ้นโดยทรงพระดำริว่าจะใช้พื้นที่ตลาดยอด (คือบริเวณด้านตะวันตกของวัดบวรนิเวศวิหารบัดนี้) ทั้งเกาะ เป็นที่ตั้งโรงเรียนของมหามกุฎราชวิทยาลัยดังกล่าวแล้ว (๗) แต่ยังมิทันได้ดำเนินการให้เป็นไปตามพระดำริ เพราะไม่มีงบประมาณในการดำเนินการ
แต่อีก ๓๕ ปีต่อมา พระดำริของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ดังกล่าวแล้ว ก็ได้รับการสานต่อ จนเกิดเป็นมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา หรือที่เรียกกันว่า มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของไทยขึ้น นั่นคือสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘
สถาปนาเปลี่ยนคำนำพระนามเป็น “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า”
แต่โบราณมา ตำแหน่งพระประมุขแห่งสังฆมณฑลที่เรียกว่า สมเด็จพระสังฆราชนั้น ไม่เคยมีเจ้านายพระองค์ใดที่ทรงผนวชอยู่ได้รับสถาปนาในตำแหน่งนี้ กระทั่งถึงรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดถวายมหาสมณุตมาภิเษกแด่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพน ในตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระองค์แรก
มาในรัชกาลที่ ๕ ก็ทรงพระกรุณาโปรดถวายมหาสมณณุตมาภิเษกแด่กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ในตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช แต่เจ้านายที่ได้รับถวายมหาสมณุตมาภิเษกทั้ง ๒ พระองค์ ในครั้งนั้น ไม่ได้เรียกว่าสมเด็จพระสังฆราช แต่เรียกพระนามไปตามพระอิศริยยศในฝ่ายพระบรมราชวงศ์ คือสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
มาในรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวถวายมหาสมณุตมาภิเษกแด่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ ก็ยังคงเรียกพระนามไปตามธรรมเนียมเดิมมิได้เรียกว่าสมเด็จพระสังฆราชเช่นกัน
ครั้น พ.ศ. ๒๔๖๔ อันเป็นปีที่สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา และทรงดำรงในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชมาครบ ๑๐ ปี พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำริว่า
“พระมหาสังฆปริณายกประธานาธิบดีแห่งสังฆมณฑลทั่วพระราชอาณาจักร ซึ่งมีสมณศักดิ์ว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณนั้น ได้มีนามอย่างสังเขปว่า สมเด็จพระสังฆราชเป็นประเพณีสืบมา แต่ส่วนพระบรมบรมราชวงศ์ผู้ได้รับมหาสมณุตมาภิเษกดำรงสมณศักดิ์เช่นนี้หาได้เรียกว่า สมเด็จพระสังฆราชไม่ ย่อมเรียกพระนามไปตามพระอิศริยยศแห่งพระบรมราชวงศ์ ไม่ปรากฏพระเกียรติยศยิ่งขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเปลี่ยนคำนำพระนามเป็น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (มีสร้อยพระนามคงตามเดิม) เพื่อเฉลิมพระเกียรติยศสืบไปชั่วกาลนาน” (๘)
เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์ปัจจุบันขึ้นแล้ว ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งทรงได้รับมหาสมณุตมาภิเษกในรัชกาลที่ ๔ และสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ซึ่งทรงได้รับมหาสมณุตมาภิเษกในรัชกาลที่ ๕ เป็น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า เช่นเดียวกันในคราวนี้ด้วย
พระนาม “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า” จึงเกิดมีขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชกาลที่ ๖ โดยทรงสถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระองค์แรก
ผลงานพระนิพนธ์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงรอบรู้ภาษาต่างๆ หลายภาษา คือ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส ได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องราวต่างๆ ไว้เป็นอันมาก เช่น หนังสือหลักสูตรนักธรรมชั้นตรีโท เอก ทั้งหมดหลักสูตรบาลีไวยากรณ์ทั้งชุด รวมพระราชนิพนธ์ ทั้งที่เป็นภาษาไทย ภาษาบาลี มีจำนวนกว่า ๒๐๐ เรื่อง นอกจากนี้ยังทรงชำระคัมภีร์บาลีไว้อีกกว่า ๒๐ คัมภีร์ บทพระนิพนธ์เรื่องต่างๆ ของพระองค์ ไม่ว่าเป็นเรื่องคดีธรรม หรือคดีโลก ล้วนเป็นเรื่องที่ทันสมัย โดยเฉพาะบทพระนิพนธ์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาของพระองค์นั้น กล่าวได้ว่าเป็นการเริ่มศักราชใหม่ของการอธิบายหรือตีความพระพุทธศาสนาแนววิเคราะห์เท่ากับพระองค์ทรงเป็นผู้วางแนวในการศึกษาพระพุทธศาสนาในสมัยใหม่แก่วงการพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการเริ่มยุคใหม่อีกยุคหนึ่งของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
ทรงเป็นนักการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ของไทย
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ กล่าวได้ว่าเป็นยุคที่พระสงฆ์มีบทบาททางการศึกษาของชาติมากที่สุดและผู้ที่มีบทบาทโดดเด่นเป็นผู้นำทางการศึกษาอยู่ในขณะนั้น ก็คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เริ่มแต่ทรงจัดตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัยสำหรับเป็นสถานศึกษาวิทยาการทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม สำหรับภิกษุสามเณรและกุลบุตร ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และจากความสำเร็จในการจัดตั้งมหามกุฎราชวิทยาลัยนั่นเอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงตัดสินพระราชฤทัยมอบหมายให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงรับภาระอำนวยการจัดการศึกษาในหัวเมืองทั่วราชอาณาจักรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ ซึ่งเป็นการมอบหมายภาระในการวางรากฐานการศึกษาขั้นประถมศึกษาของชาติให้พระองค์ทรงดำเนินการ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ก็ได้ทรงจัดการศึกษาขั้นประถมศึกษาอันเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานของชาติได้เป็นผลสำเร็จภายในเวลา ๕ ปี แม้ว่าจะเป็นความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ก็กล่าวได้ว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้นทรงเป็นผู้ให้กำเนิดการศึกษาขั้นประถมศึกษาของไทย
นอกจากจะทรงเป็นผู้วางรากฐานการศึกษาระดับประถมศึกษาแล้ว ยังทรงพระดำริที่จะพัฒนาการศึกษาระดับมัธยมศึกษาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยทรงพระดำริที่จะพัฒนาโรงเรียนภาษาไทยของมหามกุฏราชวิทยาลัยที่วัดบวรนิเวศวิหารให้เป็นโรงเรียนราษฎร์แบบอยู่ประจำ เพื่อเป็นตัวอย่าง เป็นการช่วยรัฐบาล แต่พระดำรินี้ไม่สามารถดำเนินไปได้ตลอด เพราะขาดงบประมาณดำเนินการเพราะขาดงบประมาณดำเนินการ (๙)
ในด้านการศึกษาของคณะสงฆ์ที่เรียกว่า การศึกษาปริยัติธรรมนั้น ก็ทรงมีแนวพระดำริว่าภิกษุสามเณรควรจะมีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะ “รู้ทางโลกก็เป็นสำคัญอุดหนุนรู้ทางธรรมให้มั่นให้กว้าง พระศาสดาของเราก็ได้ความรู้ทางโลกเป็นกำลังช่วย จึงประกาศพระพุทธศาสนาด้วยดี” (๑๐) การที่ทรงจัดตั้งมหามกุฎราชวิทยาลัยขึ้นในครั้งนั้น ก็เพื่อจัดการศึกษาแก่ภิกษุสามเณรในแนวนี้ ซึ้งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี นอกจากนี้ การจัดการศึกษาแบบใหม่ของมหามกุฎราชวิทยาลัยนั้น “ก็เพื่อจะลองหาทางแก้ไขการเรียนพระปริยัติธรรมให้ดีขึ้น คือ ให้ผู้เรียนรู้ได้เร็วไม่เปลืองเวลา ไม่พักลำบาก รู้ได้ดี” (๑๑) กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทรงหาวิธีการที่จะทำให้ภิกษุสามเณรใช้เวลาเรียนแต่น้อย แต่ได้ความรู้ดีตามต้องการ แม้ว่าการจัดการศึกษาแบบมหามกุฎราชวิทยาลัยจำต้องเลิกไปในเวลาต่อมา แต่แนวพระดำริของพระองค์ดังกล่าว ก็ได้เป็นรากฐานให้แก่การจัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงของคณะสงฆ์ ที่เรียกว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์ในเวลาต่อมา
เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงมีวิสัยทรรศน์ทางด้านการศึกษาที่แหลมคมและกว้างไกลทรงมีแนวพระราชดำริที่ล้ำยุคและล้ำหน้ากว่าใครๆ ในยุคเดียวกัน จึงกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นนักการศึกษาที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของไทย
พระกรณียกิจพิเศษ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นพระอุปัธยาจารย์ของพระมหากษัตริย์ ๒ พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เมื่อทรงผนวชเป็นพระภิกษุขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดช กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ นอกจากนี้ ก็ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระบรมวงศานุวงศ์อื่นๆ อีกหลายพระองค์
สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงประชวรวัณโรค มีพระอาการเรื้อรังมาเป็นเวลานาน กระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๔๖๔ อันเป็นปีที่ทรงเจริญมายุครบ ๖๐ พรรษา อาการประชวรกำเริบมากขึ้น จึงเสด็จโดยทางเรือไปรักษาพระองค์ทางชายทะเลจนถึงจังหวัดสงขลา พระอาการยิ่งทรุดหนักลง ประจักษ์แก่พระหฤทัยว่ากาลที่สุดใกล้จะถึง จึงเสด็จกลับกรุงเทพฯ โดยทางรถไฟเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๖๔ ครั้งถึงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๔๖๔ เวลา ๔ นาฬิกา ๓๕ นาทีก่อนเที่ยง (๑๐.๓๕ น.) ก็สิ้นพระชนม์ สิริรวมพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ๓ เดือนเศษ ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร ๓๐ ปี ทรงดำรงตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช ๑๐ ปีกับ ๗ เดือนเศษ ถึงเดือนเมษายน ๒๔๖๕ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ถวายพระเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง
เชิงอรรถ
(๑) ผู้ต้องการทราบพระประวัติตอนต้นโดยละเอียด โปรดอ่าน พระประวัติตรัสเล่า พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มหามกุฎราชวิทยาลัย จัดพิมพ์ครั้งที่ ๒
(๒) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธ์ กรมพระดำรงราชานุภาพ เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๖๖ โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร หน้า ๓๐๒
(๓) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร พิมพ์โดยพระบรมราชโองการในงานถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ที่พระเมรุท้องสนามหลวง พ.ศ. ๒๔๖๕ โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร หน้า ๙๓-๙๕
(๔) เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ อ้างแล้ว หน้า ๓๐๘-๓๑๒
(๕) พระมหาสมณศาสน เล่ม ๑ เกี่ยวกับการพระศาสนา ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จัดพิมพ์เนื่องในงานมหาสมณานุสรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๔ พุทธอุปถัมภ์การพิมพ์ หน้า ๕๒๒
(๖) พระมหาสมณศาสน เล่ม ๒ เกี่ยวกับการพระศาสนา ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จัดพิมพ์เนื่องในงานมหาสมณานุสรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๔ พุทธอุปถัมภ์การพิมพ์ หน้า ๘-๙
(๗) แถลงการณ์ กิจการของสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๙ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๔ หน้า ๑๙
(๘) เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ อ้างแล้ว หน้า ๓๘๖
(๙) ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร อ้างแล้ว หน้า ๙๔
(๑๐) พระประวัติตรัสเล่า อ้างแล้ว หน้า .......
(๑๑) ประวัติมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในงานฉลองครบ ๘๔ ปี มหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๒๑ หน้า ๔๓